เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องเตรียมหลักฐานให้ประกันอย่างไรบ้าง
อุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ทันตั้งตัวหรือคาดคิด จึงทำให้เกิดความสูญเสียมากมายใหญ่หลวงกับตัวเราและคนรอบข้างได้ ดังนั้นการป้องกันหรือวางแผนรับมือเรื่องเหล่านี้ที่ดีนั้น เราสามารถทำได้ด้วยการทำ “ประกัน” ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราเอาไว้เสมอๆ ครับ เราเชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะมีประกันเป็นของตนเองแต่ไม่รู้แนวทางหรือวิธีการเตรียมเอกสารสำหรับขอเคลมกันอย่างแน่นอน เพื่อเป็นแนวทางที่ดีวันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ขั้นตอนการเตรียมตัวในการเคลมประกัน” กันสักหน่อยครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาเราลุยกันดีกว่าครับผม
ขั้นตอนการเคลมประกันที่ควรรู้
ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ
หลังจากเกิดอุบัติเหตุหรือรู้ผลวินิจฉัยจากแพทย์ ให้ติดต่อฝ่ายเคลมประกันที่รู้ใจทันที โทร 02 582 8855 กด 2 หากต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้โทรเรียกรถพยาบาลก่อนโทรหารู้ใจ
– แจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่าต้องการใช้เอกสารในเคลมประกันทั้งหมด
– เตรียมเอกสารและหลักฐานทั้งหมดที่จำเป็น ตามรายการของความคุ้มครองแต่ละประเภท
– ส่งเอกสารและหลักฐานมาที่รู้ใจ ภายในระยะเวลาที่กำหนด เราจะตรวจสอบและพิจารณาการเคลมประกัน โดยอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติมตามความจำเป็น
ประกันรถยนต์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่…
●แบบมีคู่กรณี คือ การเกิดอุบัติเหตุแบบรถชนกับรถ พนักงานบริษัทประกันจะตรวจสอบและพิจาราณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด บริษัทจะเป็นผู้จ่ายแทนลูกค้าในส่วนของค่าเสียหายส่วนแรก (ทั้ง Deductible และ Excess) ไปก่อน แล้วเรียกคืนภายใน 7 วัน
●แบบไม่มีคู่กรณี คือ ในกรณีที่รถของผู้เอาประกันเกิดอุบัติเหตุเกิดชน เช่น ถูกรถอื่นชนแล้วหลบหนี ไม่สามารถแจ้งรายละเอียดคู่กรณีได้ แต่หากแจ้งรายละเอียดคู่กรณีได้ และมีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน ไม่ต้องเสียค่า Deductible หรือ excess เนื่องจากทางบริษัทประกันจะดำเนินการตามเรียกร้องเองในภายหลัง
และจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ครับ
– สำเนาใบขับขี่ของผู้ขับขี่ขณะเกิดเหตุ
– สำเนาทะเบียนรถ
– สำเนาหน้าตารางกรมธรรม์
– สำเนาบันทึกประจำวัน (แล้วแต่กรณี)
– เอกสารชนแล้วแยก หรือใบหลักฐานยอมรับผิดจากคู่กรณี (แล้วแต่กรณี)
ประกันอุบัติเหตุ “ไม่คุ้มครอง” ในส่วนใดบ้าง?
– การบาดเจ็บที่เกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วย
– การบาดเจ็บที่เกิดจากกิจกรรมอันตรายหรือความประมาทเลินเล่อ เช่น จุดประทัด
– บาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายร่างกายตัวเอง รวมถึงการฆ่าตัวตาย
– การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะอยู่ในอาการมึนเมาแอลกอฮอลล์ หรือใช้สารเสพติด
– การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะก่ออาชญากรรม
– การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นก่อนซื้อประกันอุบัติเหตุ
เราจะเลือกประกันอุบัติเหตุอย่างไรดี
– ควรเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะหากเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือจะทำให้เราเคลมยากในภายหลังครับ
– เงื่อนไข ผลประโยชน์ความคุ้มครองคุ้มค่าและครอบคลุม เพื่อความสะดวกแก่ผู้เอาประกัน
– เบี้ยประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลสมเหตุสมผล ไม่ควรแพงจนเกินกำลังของเรา
– ควรสอบถามตัวแทนหรือบริษัทผู้ให้บริการทุกครั้ง ถึงเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหลังเกิดอุบัติเหตุ ก่อนทำประกันว่าเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นแบบใด ใช้เวลากี่วัน บริษัทถึงจะอนุมัติการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
– มีแผนประกันให้เลือกหลากหลาย ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสภาพคล่องทางการเงินที่เหมาะสม
– ความรวดเร็วในการตรวจสอบเอกสารเคลมประกันเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล
– ครอบคลุมสถานพยาบาลทุกที่ทั่วโลกหรือไม่
และนี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องเตรียมหลักฐานให้ประกันอย่างไรบ้าง” ที่พวกเราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านกันในบทความข้างต้นนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางและความรู้ที่ดีสำหรับการเลือกทำประกันสำหรับทุกๆ ท่านได้ในอนาคตกันนะครับ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆ ท่านไม่เกิดอุบัติเหตุจะเป็นอันดีที่สุดครับผม
4 แนวทางการเลือกประกันให้เหมาะกับเรา
การวางแผนชีวิตและแผนอนาคตถือจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดมากกว่าได้ ซึ่งหากวางแผนได้ดีก็จะทำให้ชีวิตอนาคตราบรื่นเป็นอย่างมากเลยหล่ะครับ เฉกเช่นเดียวกับการเลือก “ประกันภัยที่เหมาะสม” ถ้าเลือกไม่ผิด ก็จะหมดห่วงคนรุ่นหลังได้เลยหล่ะครับ บทความนี้จะขอพาทุกๆ ท่านไปค้นหาและเปรียบว่า “เลือกประกันแบบไหนถึงจะเหมาะ” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจกันครับ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันเล้ย!!
ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับบุคคลในการทำ “ประกันภัย”
1. ผู้รับประกันภัย คือบริษัทประกันชีวิต ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต เพื่อรับประกันต่อความสูญเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยสัญญาว่าจะจ่ายชดเชยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ การประกันกรณีทุพพลภาพ หรือการประกันสุขภาพ (ดูรายชื่อบริษัท)
2. ผู้เอาประกันภัย คือบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทฯ โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต
3. ผู้รับประโยชน์ คือบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตว่าจะเป็นผู้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
4 หลักการเลือกประกันที่เหมาะสม
การเลือกประกันชีวิตที่ดีและเหมาะสมกับท่านผู้อ่านสามารำถทำได้ดังนี้
●พิจารณารายได้ การทำประกันนั้นอาจถือเป็นหนึ่งในการออมทางเลือกที่หลายคนให้ความไว้วางใจ ที่นอกจากจะเป็นการเก็บเงินก้อนแล้ว ยังเป็นการรองรับความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย แต่ทว่าหลายคนก็เลือกจะทำประกันที่มีวงเงินสูง ทำให้ต้องจ่ายเบื้ยประกันสูงตาม เราอาจมั่นใจกับการประกันภัยดังกล่าวในระยะสั้น ทว่าระยะยาวนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินได้ ประกันชีวิตที่เหมาะสมคือ 10-20% ของรายได้
●พิจารณาความเสี่ยงด้านสุขภาพ ซึ่งแม้ว่าจะดูแลสุขภาพดีแค่ไหนแต่ความเสี่ยงในโรคภัยก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การทำประกันสุขภาพไว้ล่วงหน้าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแบ่งเบาความเสี่ยงที่อาจเกิดในอนาคต
●พิจารณาว่าเราเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัวหรือไม่? ครอบครัวต้องพึ่งพิงรายได้ของคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเป็นหลัก ควรที่จะมีประกันชีวิตเพื่อคุ้มครอง เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น หรืออุบัติเหต จนไม่สามารถทำงาน หรือขาดรายได้ คนข้างหลังจะลำบาก แล้วควรจะทำประกันชีวิตเท่าไหร่ดี ก็ขึ้นอยู่กับรายจ่ายรวมเป็นหลักครับ
ทำไมถึงควรทำประกันตั้งแต่อายุน้อยๆ
การทำประกันในช่วงอายุ 20 ปีจะช่วยให้คุณได้จ่ายเงินทำประกันในอัตราที่ดี เนื่องจากในหลายๆ กรมธรรม์ อายุน้อยกว่าก็ชำระค่าเบี้ยน้อยกว่า วัยรุ่นมีความเสี่ยงน้อยกว่า – สุขภาพถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ และความเจ็บป่วยมักเกิดขึ้นในภายหลัง เหล่าหนุ่มสาวจึงมักจ่ายน้อยกว่า โดยการคำนวณเบี้ยประกันจะคิดอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยง อายุและสุขภาพของผู้เอาประกันเป็นที่ตั้งอยู่แล้วนั้นเองครับ จึงไม่แปลกที่อายุน้อยๆ ค่าเบี้ยประกันก็จะน้อยตาม
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “4 แนวทางการเลือกประกันให้เหมาะกับเรา” ที่เราได้รวบรวมมาให้ทุกๆ ท่านได้อ่านเป็นความรู้กัน หวังว่าจะชอบกันนะครับ
ประกันมีกี่ประเภทกันนะ
ว่ากันด้วยเรื่องของประกันภัยในปัจจุบันนั้น มีมากมายหลายแบบและหลายบริษัทให้เราได้เลือกสรรค์ตามความคุ้มครองที่เราต้องการ แต่หลายๆ ท่านก็คงไม่รู้ว่าประกันมีกี่ประเภท วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปหาคำตอบเกี่ยวกับ “ประกันมีกี่ประเภทกันนะ” กันสักหน่อยครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เราไปชมกันดีกว่าครับผม
ความหมายของประกันเป็นอย่างไร?
ประกัน คือ การตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) กับผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) โดยมีการจัดทำข้อตกลงขึ้นในลักษณะของสัญญาประกันภัย หรือเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัย” ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อเกิดการสูญเสียหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นต้องชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัยตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา
เมื่อมีการตกลงทำประกันภัยแล้ว มีผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันภัยอยู่ 3 ฝ่าย ได้แก่
- ผู้รับประกันภัย (Insurer) เป็นบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยจากภัยที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขในสัญญา
- ผู้เอาประกันภัย (Insured) หรือผู้ถือกรมธรรม์ (Policy Holder) เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ มีหน้าที่ส่งเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันภัยจนครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
- ผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary) เป็นบุคคลที่ถูกระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ให้เป็นผู้ได้รับค่าสินไหมทดแทน ซึ่งผู้รับผลประโยชน์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของผู้เอาประกันภัย
การแบ่งประเภทของประกัน
ประกันภัยสามารถบ่งเป็น 3 ประเภท อ้นได้แก่…
1. การประกันภัยบุคคล (Insurance of the person) เป็นการประกันภัยเกี่ยวกับภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือที่เกิดกับบุคคล ได้แก่
1.1 การประกันชีวิต เป็นสัญญาระหว่างผู้ให้ประกัน ซึ่งมักเป็นบริษัทประกันชีวิต กับผู้เอาประกัน โดยผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันให้ผู้รับประกัน หากผู้เอาประกันเกิดเสียชีวิตขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับภายในเงื่อนไขในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้รับผลประโยชน์เรียกว่าเงินสินไหม
1.2 การประกันอุบัติเหตุ เป็นการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย ประสบอุบัติเหตุได้รับความบาดเจ็บทางร่างกาย และหากผลของการบาดเจ็บนั้นส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หรือรุนแรงถึงขั้นทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิต
1.3 การประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นจะเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยจากโรคภัย หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้แก่ผู้เอาประกันภัย
2. การประกันภัยทรัพย์สิน (Property Insurance) เป็นการประกันที่บริษัทผู้รับประกันภัยทำสัญญายินยอมที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่เกิดความเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เอาประกัน ได้แก่เป็นการประกันที่บริษัทผู้รับประกันภัยทำสัญญายินยอมที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่เกิดความเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เอาประกัน ได้แก่
2.1 การประกันอัคคีภัย
2.2 การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง
2.3 การประกันภัยรถยนต์
2.4 การประกันภัยเบ็ดเตล็ด
3. การประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย (Liability Insurance) เป็นการประกันภัยที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย ที่เกิดจากการประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกันภัย บุคคลในครอบครัว หรือลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย แบ่งออกได้กว้างๆ ดังนี้
3.1 การประกันภัยความรับผิดต่อสาธารณะ (Public Liability Insurance)
3.2 การประกันภัยความรับผิดจากผลิตภัณฑ์ (Product Liability Insurance)
3.3 การประกันภัยความรับผิดจากวิชาชีพ (Professional Liability Insurance)
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “ประเภทของประกันภัย” ที่มีถึง 3 หัวข้อหลักๆ มีความคุ้มครองที่หลากหลายโดยแบ่งกันไปตามหน้าที่ หลังจากอ่านแล้วก็คงจะได้ประโยชน์และความเข้าใจกันมากขึ้นกันนะครับ
ทำความรู้จักกับประกันภัย
อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ นั้น หากเราสามารถหาทางลดหย่อนความเสียหายและลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการวางแผนที่ดีในปัจจุบัน ก็เปรียบสเมือนว่าเราได้ป้องกันตนเองในระดับที่ดีมากๆ เอาไว้แล้วนั้นเองครับ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเสริมการป้องกันนี้มักจะใช้ “การทำประกันภัย” เป็นตัวช่วยหลักๆ อยู่เสมอๆ ยังไงหล่ะครับ วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไป “ทำความรู้จักกับประกันภัย” กันสักหน่อยครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เราไปชมกันดีกว่าครับผม
ความหมายของ “ประกันภัย” ตามที่ คปภ. กำหนดไว้ เป็นอย่างไร?
การประกันภัย (Insurance) เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อเกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้ทำประกันภัยไว้ ด้วยการเฉลี่ยหรือการกระจายความเสียหายไปยังสมาชิกที่ทำประกันภัย โดยมีบริษัทประกันภัยเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บเบี้ยประกันและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ทั้งนี้การทำประกันภัย เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) กับผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) โดยมีการจัดทำข้อตกลงขึ้นในลักษณะของสัญญาประกันภัย หรือเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัย” ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อเกิดการสูญเสียหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นต้องชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัยตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา
สิ่งที่จะทำให้เราตัดสินใจทำประกันภัยที่ดีต้องดูอะไรบ้าง?
●ความเสี่ยงในการทำงาน: การทำงานรวมไปถึงการเดินทางก็นับเป็นความเสี่ยงประการหนึ่ง หากทำงานใกล้บ้าน งานออฟฟิศ อาจใช้เป็นการทำประกันสุขภาพ ที่มีความเกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม แต่ถ้าออกต่างจังหวัดบ่อย งานมีความเสี่ยงสูง ประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิตอาจมีความสำคัญมากขึ้น
●ความเสี่ยงด้านสุขภาพ: แม้ว่าจะดูแลสุขภาพดีแค่ไหนแต่ความเสี่ยงในโรคภัยก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การทำประกันสุขภาพไว้ล่วงหน้าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแบ่งเบาความเสี่ยงที่อาจเกิดในอนาคต
●ความเสี่ยงของสถานที่พักอาศัย ถึงจะเป็นบ้านที่สร้างมาด้วยหลักวิศวกรรมที่ครบทุกๆ ด้าน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อย่างไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นควรสำรวจที่พักของท่านให้ครอบคลุมและทำประกันไว้เพื่อความปลอดภัยจะดีที่สุดครับ
●เป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว: ครอบครัวต้องพึ่งพิงรายได้ของคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเป็นหลัก ควรที่จะมีประกันชีวิตเพื่อคุ้มครอง เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น หรืออุบัติเหต จนไม่สามารถทำงาน หรือขาดรายได้ คนข้างหลังจะลำบาก แล้วควรจะทำประกันชีวิตเท่าไหร่ดี ก็ขึ้นอยู่กับรายจ่ายครอบครัวต่อปี คูณด้วย 5 ปี ได้เท่าไหร่นั้นก็คือทุนประกันชีวิตที่ควรจะมีเพื่อให้คนข้างหลังสามารถมีชีวิตอยู่อย่างปกติและมีเวลาตั้งตัวได้ หากเบี้ยประกันชีวิตที่ต้องส่งนั้นสูงเกินกว่าที่จะส่งไหวก็ยังไม่จำเป็นต้องทำทุนประกันสูงถึงที่คำนวณไว้ให้เริ่มจากจ่ายเบี้ยประกันชีวิตน้อยๆ และเมื่อจ่ายไหวค่อยทำประกันชีวิตฉบับใหม่เพื่อให้ครอบคลุม
ขั้นตอนการเคลมประกันภัยเบื้องต้น
●หลังจากเกิดอุบัติเหตุหรือรู้ผลวินิจฉัยจากแพทย์ ให้ติดต่อฝ่ายเคลมประกันที่รู้ใจทันที โทร 02 582 8855 กด 2 หากต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้โทรเรียกรถพยาบาลก่อนโทรหารู้ใจ
●แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและเจ้าที่ของโรงพยาบาล(หากเป็นส่วนของประกันอุบัติเหตุ)ว่าต้องการใช้เอกสารในเคลมประกันทั้งหมด
●เตรียมเอกสารและหลักฐานทั้งหมดที่จำเป็น ตามรายการของความคุ้มครองแต่ละประเภท
●ส่งเอกสารและหลักฐานมาที่รู้ใจ ภายในระยะเวลาที่กำหนด เราจะตรวจสอบและพิจารณาการเคลมประกัน โดยอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติมตามความจำเป็น
และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ทำความรู้จักกับประกันภัย” ที่เราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านกันในบทความข้างต้นนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ ท่านไม่มากก็น้อยกันนะครับ
ทำประกันรถจักรยายนต์จะคุ้มหรือไม่?
เรื่องของการประสบุบัติเหตุนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองกันอย่างแน่นอนใช่มั้ยหล่ะครับ เพราะเกิดเหตุแต่ละทีคงต้องเสียเงินเสียและเสียเวลารักษาตัวกันเป็นเวลานานกันแน่ๆ จะดีกว่ามั้ยถ้าทุกๆ การเดินทางขับขี่ของเรามีสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกและปิดช่องโหว่ในเรื่องของการเสียเงินได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด ซึ่งการเดินทางที่น่าทำประกันมากที่สุดก็คือ “ประกันจักรยานยนต์” นั้นเองครับ วันนี้เราจะพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ทำประกันรถจักรยายนต์จะคุ้มหรือไม่?” กันเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจกันครับ
ประกันคืออะไร?
ประกัน คือ การตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย อันได้แก่… ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) กับผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) โดยมีการจัดทำข้อตกลงขึ้นในลักษณะของสัญญาประกันภัย หรือเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัย” ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อเกิดการสูญเสียหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นต้องชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัยตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา ขณะเดียวกันผู้เอาประกันภัยก็มีหน้าที่ชำระเบี้ยประกันภัย (Premium) ตามที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อให้ความคุ้มครองดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประกันรถมอเตอร์ไซค์ คือ กรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองเพื่อดูแลในทรัพย์สิน ชีวิต และร่างกายของผู้ซื้อประกัน รวมถึงค่ารักษาพยาบาล จากอุบัติเหตุที่เกิดจากมอเตอร์ไซค์ ตามที่ได้ทำเอาไว้
มีประกันแบบคุ้มครองจักรยานยนต์มั้ย?
ตอบได้เลยว่ามีครับและสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ซึ่งได้แก่…ประกันมอเตอร์ไซค์ชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 2+, ชั้น 3 และชั้น 3+ โดยแต่ละขั้นจะมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ประกันชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองได้ครอบคลุมมากที่สุด
ความคุ้มครองของประกันรถจักรยานยนต์จคุ้มค่าหรือเปล่าว?
ความคุ้มครองของประกันรถจักยานยนต์หรือมอเตอร์ไซด์จะประกอบไปด้วยเรื่องของวงเงินค่าการรักษาเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เงินประกันตัวรถมอเตอร์ไซด์กับการจ่ายค่าชดเชยระหว่างคู่กรณี เป็นต้น ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มและครอบคลุมเกือบทุกๆ ด้านหากเราทำประกันชั้น 1 เอาไว้ครับ
รถมอเตอร์ไซค์แบบไหน ที่ประกันไม่คุ้มครอง
สำหรับเงื่อนไขในการรับประกันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละแผนประกันของแต่ละบริษัท บางที่ไม่รับรถจักรยานยนต์เชิงพาณิชย์ หรือไม่รับรถอายุเกิน 10 ปี ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ก็ต้องสอบถามข้อมูลก่อน แต่หลักๆ แล้วรถมอเตอร์ไซค์ที่ประกันจะไม่คุ้มครองเลย ได้แก่ รถมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่ง, รถมอเตอร์ไซค์ที่ตกแต่งแบบพิเศษ, รถจักรยานยนต์ที่มีอะไหล่แพงหรือหายาก (บางกรมธรรม์), รถมอเตอร์ไซค์เก่าเสื่อมสภาพ
ถ้าเราจะเคลมประกันมอเตอร์ไซด์ ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
หากรถมอเตอร์ไซค์เกิดอุบัติเหตุ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินเรื่องการเคลมรถมอเตอร์ไซค์ โดยเตรียมเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ เล่มทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์, สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของรถ, ใบขับขี่, สำเนากรมธรม์ประกันภัย, ภาพถ่ายความเสียหาย จากนั้นเจ้าหน้าที่จะมาประเมินความเสียหายและออกใบเคลมสำหรับนำเข้าศูนย์ซ่อม ให้เราเก็บใบเสร็จ และใบรับรถไว้เป็นหลักฐานสำหรับวันที่มารับรถมอเตอร์ไซค์ที่ซ่อมเสร็จแล้วนั้นเองครับ
นอกจากประกันที่ทำแล้ว พ.ร.บ. คืออะไร?
พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?
หากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์จะให้ความคุ้มครองในเบื้องต้นทันที โดยยังไม่ต้องมีการพิสูจน์ความผิด รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ล้มเอง หรือเฉี่ยวชนกับสิ่งกีดขวางบนท้องถนน ทำให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครอง ดังนี้
●เบิกค่ารักษาพยาบาลตามค่าใช้จ่ายจริง ในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน
●หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ จะได้รับเงินชดเชย 35,000 บาทต่อคน
●หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะตามมาภายหลังเข้ารับการรักษา จะได้รับเงินชดเชยสูงสุด 65,000 บาท
และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ทำประกันรถจักรยายนต์จะคุ้มหรือไม่?” ที่เราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านที่กำลังหาข้อมูลในด้านนี้กันครับ
ทำงานที่ กสิกรดีไหม คุณจะรู้ได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบให้
ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารชั้นนำของประเทศไทยที่สามารถพัฒนาการให้บริการในด้านต่าง ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นท็อปไฟต์ของประเทศในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามต่างมีสนใจจำนวนมากที่ต้องการจะสมัครเข้าทำงานกับธนาคารชื่อดังแห่งนี้ และหลายคนก็สงสัยว่าการเข้าทำงานกับกสิกรดีไหม น่าทำงานหรือเปล่า วันนี้เราจะมาเปิดเผยช่องทางการหาคำตอบเหล่านี้ให้ทุกคนได้ไปลองหาอ่านกัน จะมีช่องทางไหนบ้างนั้นเราลองมาดูกัน
ทำงานกับ กสิกรดีไหม ช่องทางการหาข้อมูลการสมัครงานที่คุณต้องรู้
1. สอบถามพนักงานที่เคยทำงานมาก่อน
วิธีแรกที่ง่ายและเบสิคสุด ๆ เลยก็คือการสอบถามกับพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในองค์กร หรืออาจจะสอบถามกับอดีตพนักงานที่เคยทำงานในธนาคารมาก่อนว่าบรรยากาศภายในเป็นอย่างไร น่าทำงานหรือไม่ มีสวัสดิการอะไรบ้างที่พนักงานจะได้รับ ซึ่งหากคุณสามารถสอบถามได้แล้วละก็ คุณก็แทบไม่ต้องหาข้อมูลจากที่อื่นเลยละ
2. กลุ่มหางานในเฟซบุ๊ก
ในทุกสายงานอาชีพก็จะมีกลุ่มสำหรับงานนั้น ๆ ไว้ให้พนักงานได้ หรือผู้ปฏิบัติงานได้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และหากคุณต้องการจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทดังกล่าว คุณก็สามารถค้นหาได้ง่าย ๆ ในกลุ่มเฟซบุ๊ก หรือการที่คุณจะรู้ได้แบบละเอียดแล้วละก็คุณสามารถโพสตั้งคำถาม กสิกรดีไหม มีสวัสดิการอะไรบ้าง ลงไปในกลุ่มนั้น ๆ และไม่นานก็จะมีคนมาตอบคำถามของแบบละเอียดถี่ถ้วนเลยทีเดียว
3. เว็บไซต์รีวิวหางาน
ช่องทางต่อมาคือเว็บไซต์รีวิวงานที่ปรากฏอยู่เยอะแยะมากมายบนหน้าอินเทอร์เน็ต โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะเผยถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้ที่เคยทำงานมาก่อน และสรุปออกมาเป็นข้อมูลเลยว่าบริษัทแห่งนั้นมีความน่าสนใจหรือไม่ ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับพนักงานธนาคารกสิกรนั้นก็มีให้เราเห็นอยู่บ่อย ๆ เลยทีเดียว ถือเป็นช่องทางที่น่าสนใจอีกช่องทางหนึ่งเลยละ
4. เว็บไซต์พันทิป
พันทิปเป็นอีกหนึ่งช่องหนึ่งที่มีการพูดคุยกันในประเด็นต่าง ๆ บนเว็บบอร์ด คล้ายคลึงกับเฟซบุ๊ก แต่พิเศษกว่าตรงที่คุณไม่ต้องค้นหากลุ่มให้เสียเวลา เพียงแค่คุณโพสกระทู้ตั้งไว้ ไม่นานก็จะมีคนเข้ามาตอบคำถามของคุณกันแบบต่อเนื่อง และคุณก็จะพบกับคำตอบที่คุณตามหาอยู่ไม่ยากเลย
อย่างไรก็ตามหากมองที่สวัสดิการของธนาคารกสิกรแล้วนั้นจะพบว่าตัวธนาคารมีสวัสดิการที่น่าสนใจ และน่าร่วมงานด้วยเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น สวัสดิการกู้เพื่อซื้อที่อาศัย, การรักษาพยาบาล, เงินช่วยเหลือกรณีที่เกษียณอายุ, เงินช่วยเหลือในกรณีที่ลาออกจากงานก่อนวัยเกษียณ และเงินช่วยเหลือด้านการศึกษาให้กับบุตร และธิดา ซึ่งอาจช่วยสรุปข้อสงสัยที่ว่าการทำงานกับ กสิกรดีไหม ไปได้ทันทีเลยล่ะ