ซื้อ ความคุ้มครอง ประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาไม่แพง คุ้มค่าที่สุด
ปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบประกันภัยรถยนต์ให้คุณได้เลือกซื้อขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันเองว่าอยากได้รูปแบบความคุ้มครองแบบไหนให้กับตัวเองและคนที่คุณรัก ซึ่งแน่นอนว่าวันนี้คุณสามารถเข้ามาเลือกซื้อรูปแบบประกันภัยรถยนต์ ประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาถูก ได้ที่เว็บ mrkumka
ทางเราจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเลือกซื้อประกันรถยนต์ให้กับผู้เอาประกันได้มากขึ้นเนื่องจากเว็บ mrkumka ของเรามีหลากหลายรูปแบบประกันภัยรถยนต์ซึ่งแต่ละรูปแบบประกันก็ให้ความคุ้มครองที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันเช่นเดียวกันแน่นอนว่าคุณสามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการเลือกซื้อรูปแบบประกันภัยรถยนต์ที่คุณต้องการได้ที่หน้าเว็บก่อนที่จะเข้าไปเลือกซื้อประกันโดยเฉพาะประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาถูก
ซึ่งเป็นรูปแบบประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองมากที่สุดแม้จะมีราคาเบี้ยประกันที่แพงที่สุดแต่ถ้าเข้ามาซื้อกับแบรนด์ของเรา ประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาถูก จะช่วยทำให้คุณประหยัดเงินในการเลือกซื้อความคุ้มครองได้มากขึ้นเพราะเรามีบริการเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันรถยนต์ ชั้น 1 ให้กับผู้เอาประกันทุกคนทำให้คุณมีตัวเลือกหรือ สิทธิประโยชน์ดีๆที่ทำให้คุณประหยัดเงินในการเลือกซื้อความคุ้มครองที่คุณต้องการได้มากขึ้น
ประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาไม่แพง ซื้อกับช่องทางไหนดี
อย่าลืมว่าวันนี้หากคุณเข้ามาเลือกซื้อประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาถูกๆได้ที่เว็บ mrkumka คุณจะมีช่องทางที่จะทำให้คุณมีป้องกันในการใช้ชีวิตประกันภัยรถยนต์ที่คุณสนใจได้มากขึ้นเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวันถ้าคุณไม่เตรียมความพร้อมจะทำให้ ผู้ขับขี่เสียเงินจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาไม่แพง สามารถเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปแบบประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาประหยัด ที่หน้าเว็บ mrkumka ได้ เราพร้อมที่จะใหคำแนะนำในการเลือกซื้อรูปแบบประกันรถยนต์ที่คุณต้องการ และเหมาะสมกับความต้องการของผู้เอาประกันเอง เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจตามเราเข้ามาเลือกซื้อเลือกดูรูปแบบประกันที่คุณต้องการได้เลย
เพราะนอกจากความคุ้มครองที่คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่คุณจ่ายแล้ว เรายังช่วยให้คุณจ่ายค่าเบี้ยได้ประหยัดลงจากบริการเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกัน เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจ ตามเราเข้ามาเลือกซื้อเลือกดูรูปแบบประกันรถยนต์ ชั้น 1 ราคาถูกๆ หรือประกันที่คุณต้องการกันได้เลย เราพร้อมให้บริการ การเลือกซื้อความคุ้มครองประกันรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามถ้าคุณไม่อยากแบกรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง
เพียงเข้ามาเลือกซื้อกับเว็บออนไลน์ของเรา คุณจะได้รับความรวดเร็วในการเลือกซื้อความคุ้มครอง รวมถึงวามสะดวกในการเลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในการเลือกซื้อ ของแต่ลพรูปแบบประกัน ที่ผู้เอาประกันสนใจ การจัดส่งเอกสารของการเลือกซื้อประกัน หรือข้อมูลใดๆก็ตามเว็บ mrkumka ของเราพร้อมให้บริการ และช่วยเพิ่มเกราะป้องกันสำหรับการให้ความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ที่คุณต้องการ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องเตรียมหลักฐานให้ประกันอย่างไรบ้าง
อุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ทันตั้งตัวหรือคาดคิด จึงทำให้เกิดความสูญเสียมากมายใหญ่หลวงกับตัวเราและคนรอบข้างได้ ดังนั้นการป้องกันหรือวางแผนรับมือเรื่องเหล่านี้ที่ดีนั้น เราสามารถทำได้ด้วยการทำ “ประกัน” ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราเอาไว้เสมอๆ ครับ เราเชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะมีประกันเป็นของตนเองแต่ไม่รู้แนวทางหรือวิธีการเตรียมเอกสารสำหรับขอเคลมกันอย่างแน่นอน เพื่อเป็นแนวทางที่ดีวันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ขั้นตอนการเตรียมตัวในการเคลมประกัน” กันสักหน่อยครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาเราลุยกันดีกว่าครับผม
ขั้นตอนการเคลมประกันที่ควรรู้
ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ
หลังจากเกิดอุบัติเหตุหรือรู้ผลวินิจฉัยจากแพทย์ ให้ติดต่อฝ่ายเคลมประกันที่รู้ใจทันที โทร 02 582 8855 กด 2 หากต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้โทรเรียกรถพยาบาลก่อนโทรหารู้ใจ
– แจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่าต้องการใช้เอกสารในเคลมประกันทั้งหมด
– เตรียมเอกสารและหลักฐานทั้งหมดที่จำเป็น ตามรายการของความคุ้มครองแต่ละประเภท
– ส่งเอกสารและหลักฐานมาที่รู้ใจ ภายในระยะเวลาที่กำหนด เราจะตรวจสอบและพิจารณาการเคลมประกัน โดยอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติมตามความจำเป็น
ประกันรถยนต์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่…
●แบบมีคู่กรณี คือ การเกิดอุบัติเหตุแบบรถชนกับรถ พนักงานบริษัทประกันจะตรวจสอบและพิจาราณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด บริษัทจะเป็นผู้จ่ายแทนลูกค้าในส่วนของค่าเสียหายส่วนแรก (ทั้ง Deductible และ Excess) ไปก่อน แล้วเรียกคืนภายใน 7 วัน
●แบบไม่มีคู่กรณี คือ ในกรณีที่รถของผู้เอาประกันเกิดอุบัติเหตุเกิดชน เช่น ถูกรถอื่นชนแล้วหลบหนี ไม่สามารถแจ้งรายละเอียดคู่กรณีได้ แต่หากแจ้งรายละเอียดคู่กรณีได้ และมีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน ไม่ต้องเสียค่า Deductible หรือ excess เนื่องจากทางบริษัทประกันจะดำเนินการตามเรียกร้องเองในภายหลัง
และจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้ครับ
– สำเนาใบขับขี่ของผู้ขับขี่ขณะเกิดเหตุ
– สำเนาทะเบียนรถ
– สำเนาหน้าตารางกรมธรรม์
– สำเนาบันทึกประจำวัน (แล้วแต่กรณี)
– เอกสารชนแล้วแยก หรือใบหลักฐานยอมรับผิดจากคู่กรณี (แล้วแต่กรณี)
ประกันอุบัติเหตุ “ไม่คุ้มครอง” ในส่วนใดบ้าง?
– การบาดเจ็บที่เกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วย
– การบาดเจ็บที่เกิดจากกิจกรรมอันตรายหรือความประมาทเลินเล่อ เช่น จุดประทัด
– บาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายร่างกายตัวเอง รวมถึงการฆ่าตัวตาย
– การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะอยู่ในอาการมึนเมาแอลกอฮอลล์ หรือใช้สารเสพติด
– การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะก่ออาชญากรรม
– การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นก่อนซื้อประกันอุบัติเหตุ
เราจะเลือกประกันอุบัติเหตุอย่างไรดี
– ควรเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะหากเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือจะทำให้เราเคลมยากในภายหลังครับ
– เงื่อนไข ผลประโยชน์ความคุ้มครองคุ้มค่าและครอบคลุม เพื่อความสะดวกแก่ผู้เอาประกัน
– เบี้ยประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลสมเหตุสมผล ไม่ควรแพงจนเกินกำลังของเรา
– ควรสอบถามตัวแทนหรือบริษัทผู้ให้บริการทุกครั้ง ถึงเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหลังเกิดอุบัติเหตุ ก่อนทำประกันว่าเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นแบบใด ใช้เวลากี่วัน บริษัทถึงจะอนุมัติการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
– มีแผนประกันให้เลือกหลากหลาย ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสภาพคล่องทางการเงินที่เหมาะสม
– ความรวดเร็วในการตรวจสอบเอกสารเคลมประกันเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล
– ครอบคลุมสถานพยาบาลทุกที่ทั่วโลกหรือไม่
และนี่ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องเตรียมหลักฐานให้ประกันอย่างไรบ้าง” ที่พวกเราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านกันในบทความข้างต้นนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางและความรู้ที่ดีสำหรับการเลือกทำประกันสำหรับทุกๆ ท่านได้ในอนาคตกันนะครับ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆ ท่านไม่เกิดอุบัติเหตุจะเป็นอันดีที่สุดครับผม
4 แนวทางการเลือกประกันให้เหมาะกับเรา
การวางแผนชีวิตและแผนอนาคตถือจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดมากกว่าได้ ซึ่งหากวางแผนได้ดีก็จะทำให้ชีวิตอนาคตราบรื่นเป็นอย่างมากเลยหล่ะครับ เฉกเช่นเดียวกับการเลือก “ประกันภัยที่เหมาะสม” ถ้าเลือกไม่ผิด ก็จะหมดห่วงคนรุ่นหลังได้เลยหล่ะครับ บทความนี้จะขอพาทุกๆ ท่านไปค้นหาและเปรียบว่า “เลือกประกันแบบไหนถึงจะเหมาะ” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจกันครับ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปดูกันเล้ย!!
ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับบุคคลในการทำ “ประกันภัย”
1. ผู้รับประกันภัย คือบริษัทประกันชีวิต ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต เพื่อรับประกันต่อความสูญเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยสัญญาว่าจะจ่ายชดเชยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ การประกันกรณีทุพพลภาพ หรือการประกันสุขภาพ (ดูรายชื่อบริษัท)
2. ผู้เอาประกันภัย คือบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทฯ โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต
3. ผู้รับประโยชน์ คือบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตว่าจะเป็นผู้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
4 หลักการเลือกประกันที่เหมาะสม
การเลือกประกันชีวิตที่ดีและเหมาะสมกับท่านผู้อ่านสามารำถทำได้ดังนี้
●พิจารณารายได้ การทำประกันนั้นอาจถือเป็นหนึ่งในการออมทางเลือกที่หลายคนให้ความไว้วางใจ ที่นอกจากจะเป็นการเก็บเงินก้อนแล้ว ยังเป็นการรองรับความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย แต่ทว่าหลายคนก็เลือกจะทำประกันที่มีวงเงินสูง ทำให้ต้องจ่ายเบื้ยประกันสูงตาม เราอาจมั่นใจกับการประกันภัยดังกล่าวในระยะสั้น ทว่าระยะยาวนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินได้ ประกันชีวิตที่เหมาะสมคือ 10-20% ของรายได้
●พิจารณาความเสี่ยงด้านสุขภาพ ซึ่งแม้ว่าจะดูแลสุขภาพดีแค่ไหนแต่ความเสี่ยงในโรคภัยก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การทำประกันสุขภาพไว้ล่วงหน้าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแบ่งเบาความเสี่ยงที่อาจเกิดในอนาคต
●พิจารณาว่าเราเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัวหรือไม่? ครอบครัวต้องพึ่งพิงรายได้ของคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเป็นหลัก ควรที่จะมีประกันชีวิตเพื่อคุ้มครอง เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น หรืออุบัติเหต จนไม่สามารถทำงาน หรือขาดรายได้ คนข้างหลังจะลำบาก แล้วควรจะทำประกันชีวิตเท่าไหร่ดี ก็ขึ้นอยู่กับรายจ่ายรวมเป็นหลักครับ
ทำไมถึงควรทำประกันตั้งแต่อายุน้อยๆ
การทำประกันในช่วงอายุ 20 ปีจะช่วยให้คุณได้จ่ายเงินทำประกันในอัตราที่ดี เนื่องจากในหลายๆ กรมธรรม์ อายุน้อยกว่าก็ชำระค่าเบี้ยน้อยกว่า วัยรุ่นมีความเสี่ยงน้อยกว่า – สุขภาพถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ และความเจ็บป่วยมักเกิดขึ้นในภายหลัง เหล่าหนุ่มสาวจึงมักจ่ายน้อยกว่า โดยการคำนวณเบี้ยประกันจะคิดอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยง อายุและสุขภาพของผู้เอาประกันเป็นที่ตั้งอยู่แล้วนั้นเองครับ จึงไม่แปลกที่อายุน้อยๆ ค่าเบี้ยประกันก็จะน้อยตาม
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “4 แนวทางการเลือกประกันให้เหมาะกับเรา” ที่เราได้รวบรวมมาให้ทุกๆ ท่านได้อ่านเป็นความรู้กัน หวังว่าจะชอบกันนะครับ
ประกันมีกี่ประเภทกันนะ
ว่ากันด้วยเรื่องของประกันภัยในปัจจุบันนั้น มีมากมายหลายแบบและหลายบริษัทให้เราได้เลือกสรรค์ตามความคุ้มครองที่เราต้องการ แต่หลายๆ ท่านก็คงไม่รู้ว่าประกันมีกี่ประเภท วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไปหาคำตอบเกี่ยวกับ “ประกันมีกี่ประเภทกันนะ” กันสักหน่อยครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เราไปชมกันดีกว่าครับผม
ความหมายของประกันเป็นอย่างไร?
ประกัน คือ การตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) กับผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) โดยมีการจัดทำข้อตกลงขึ้นในลักษณะของสัญญาประกันภัย หรือเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัย” ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อเกิดการสูญเสียหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นต้องชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัยตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา
เมื่อมีการตกลงทำประกันภัยแล้ว มีผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันภัยอยู่ 3 ฝ่าย ได้แก่
- ผู้รับประกันภัย (Insurer) เป็นบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยจากภัยที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขในสัญญา
- ผู้เอาประกันภัย (Insured) หรือผู้ถือกรมธรรม์ (Policy Holder) เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ มีหน้าที่ส่งเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันภัยจนครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
- ผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary) เป็นบุคคลที่ถูกระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ให้เป็นผู้ได้รับค่าสินไหมทดแทน ซึ่งผู้รับผลประโยชน์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของผู้เอาประกันภัย
การแบ่งประเภทของประกัน
ประกันภัยสามารถบ่งเป็น 3 ประเภท อ้นได้แก่…
1. การประกันภัยบุคคล (Insurance of the person) เป็นการประกันภัยเกี่ยวกับภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือที่เกิดกับบุคคล ได้แก่
1.1 การประกันชีวิต เป็นสัญญาระหว่างผู้ให้ประกัน ซึ่งมักเป็นบริษัทประกันชีวิต กับผู้เอาประกัน โดยผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันให้ผู้รับประกัน หากผู้เอาประกันเกิดเสียชีวิตขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับภายในเงื่อนไขในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้รับผลประโยชน์เรียกว่าเงินสินไหม
1.2 การประกันอุบัติเหตุ เป็นการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย ประสบอุบัติเหตุได้รับความบาดเจ็บทางร่างกาย และหากผลของการบาดเจ็บนั้นส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หรือรุนแรงถึงขั้นทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิต
1.3 การประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นจะเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยจากโรคภัย หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้แก่ผู้เอาประกันภัย
2. การประกันภัยทรัพย์สิน (Property Insurance) เป็นการประกันที่บริษัทผู้รับประกันภัยทำสัญญายินยอมที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่เกิดความเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เอาประกัน ได้แก่เป็นการประกันที่บริษัทผู้รับประกันภัยทำสัญญายินยอมที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่เกิดความเสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เอาประกัน ได้แก่
2.1 การประกันอัคคีภัย
2.2 การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง
2.3 การประกันภัยรถยนต์
2.4 การประกันภัยเบ็ดเตล็ด
3. การประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย (Liability Insurance) เป็นการประกันภัยที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย ที่เกิดจากการประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกันภัย บุคคลในครอบครัว หรือลูกจ้างของผู้เอาประกันภัยที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ เจ็บป่วย หรือทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย แบ่งออกได้กว้างๆ ดังนี้
3.1 การประกันภัยความรับผิดต่อสาธารณะ (Public Liability Insurance)
3.2 การประกันภัยความรับผิดจากผลิตภัณฑ์ (Product Liability Insurance)
3.3 การประกันภัยความรับผิดจากวิชาชีพ (Professional Liability Insurance)
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “ประเภทของประกันภัย” ที่มีถึง 3 หัวข้อหลักๆ มีความคุ้มครองที่หลากหลายโดยแบ่งกันไปตามหน้าที่ หลังจากอ่านแล้วก็คงจะได้ประโยชน์และความเข้าใจกันมากขึ้นกันนะครับ
ทำความรู้จักกับประกันภัย
อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ นั้น หากเราสามารถหาทางลดหย่อนความเสียหายและลดค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการวางแผนที่ดีในปัจจุบัน ก็เปรียบสเมือนว่าเราได้ป้องกันตนเองในระดับที่ดีมากๆ เอาไว้แล้วนั้นเองครับ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเสริมการป้องกันนี้มักจะใช้ “การทำประกันภัย” เป็นตัวช่วยหลักๆ อยู่เสมอๆ ยังไงหล่ะครับ วันนี้เราจึงอยากพาทุกๆ ท่านไป “ทำความรู้จักกับประกันภัย” กันสักหน่อยครับ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เราไปชมกันดีกว่าครับผม
ความหมายของ “ประกันภัย” ตามที่ คปภ. กำหนดไว้ เป็นอย่างไร?
การประกันภัย (Insurance) เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อเกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้ทำประกันภัยไว้ ด้วยการเฉลี่ยหรือการกระจายความเสียหายไปยังสมาชิกที่ทำประกันภัย โดยมีบริษัทประกันภัยเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บเบี้ยประกันและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ทั้งนี้การทำประกันภัย เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) กับผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) โดยมีการจัดทำข้อตกลงขึ้นในลักษณะของสัญญาประกันภัย หรือเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัย” ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อเกิดการสูญเสียหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นต้องชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัยตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา
สิ่งที่จะทำให้เราตัดสินใจทำประกันภัยที่ดีต้องดูอะไรบ้าง?
●ความเสี่ยงในการทำงาน: การทำงานรวมไปถึงการเดินทางก็นับเป็นความเสี่ยงประการหนึ่ง หากทำงานใกล้บ้าน งานออฟฟิศ อาจใช้เป็นการทำประกันสุขภาพ ที่มีความเกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม แต่ถ้าออกต่างจังหวัดบ่อย งานมีความเสี่ยงสูง ประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิตอาจมีความสำคัญมากขึ้น
●ความเสี่ยงด้านสุขภาพ: แม้ว่าจะดูแลสุขภาพดีแค่ไหนแต่ความเสี่ยงในโรคภัยก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การทำประกันสุขภาพไว้ล่วงหน้าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการแบ่งเบาความเสี่ยงที่อาจเกิดในอนาคต
●ความเสี่ยงของสถานที่พักอาศัย ถึงจะเป็นบ้านที่สร้างมาด้วยหลักวิศวกรรมที่ครบทุกๆ ด้าน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อย่างไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นควรสำรวจที่พักของท่านให้ครอบคลุมและทำประกันไว้เพื่อความปลอดภัยจะดีที่สุดครับ
●เป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว: ครอบครัวต้องพึ่งพิงรายได้ของคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเป็นหลัก ควรที่จะมีประกันชีวิตเพื่อคุ้มครอง เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น หรืออุบัติเหต จนไม่สามารถทำงาน หรือขาดรายได้ คนข้างหลังจะลำบาก แล้วควรจะทำประกันชีวิตเท่าไหร่ดี ก็ขึ้นอยู่กับรายจ่ายครอบครัวต่อปี คูณด้วย 5 ปี ได้เท่าไหร่นั้นก็คือทุนประกันชีวิตที่ควรจะมีเพื่อให้คนข้างหลังสามารถมีชีวิตอยู่อย่างปกติและมีเวลาตั้งตัวได้ หากเบี้ยประกันชีวิตที่ต้องส่งนั้นสูงเกินกว่าที่จะส่งไหวก็ยังไม่จำเป็นต้องทำทุนประกันสูงถึงที่คำนวณไว้ให้เริ่มจากจ่ายเบี้ยประกันชีวิตน้อยๆ และเมื่อจ่ายไหวค่อยทำประกันชีวิตฉบับใหม่เพื่อให้ครอบคลุม
ขั้นตอนการเคลมประกันภัยเบื้องต้น
●หลังจากเกิดอุบัติเหตุหรือรู้ผลวินิจฉัยจากแพทย์ ให้ติดต่อฝ่ายเคลมประกันที่รู้ใจทันที โทร 02 582 8855 กด 2 หากต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้โทรเรียกรถพยาบาลก่อนโทรหารู้ใจ
●แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและเจ้าที่ของโรงพยาบาล(หากเป็นส่วนของประกันอุบัติเหตุ)ว่าต้องการใช้เอกสารในเคลมประกันทั้งหมด
●เตรียมเอกสารและหลักฐานทั้งหมดที่จำเป็น ตามรายการของความคุ้มครองแต่ละประเภท
●ส่งเอกสารและหลักฐานมาที่รู้ใจ ภายในระยะเวลาที่กำหนด เราจะตรวจสอบและพิจารณาการเคลมประกัน โดยอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติมตามความจำเป็น
และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ทำความรู้จักกับประกันภัย” ที่เราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านกันในบทความข้างต้นนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ ท่านไม่มากก็น้อยกันนะครับ
ทำประกันรถจักรยายนต์จะคุ้มหรือไม่?
เรื่องของการประสบุบัติเหตุนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองกันอย่างแน่นอนใช่มั้ยหล่ะครับ เพราะเกิดเหตุแต่ละทีคงต้องเสียเงินเสียและเสียเวลารักษาตัวกันเป็นเวลานานกันแน่ๆ จะดีกว่ามั้ยถ้าทุกๆ การเดินทางขับขี่ของเรามีสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกและปิดช่องโหว่ในเรื่องของการเสียเงินได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด ซึ่งการเดินทางที่น่าทำประกันมากที่สุดก็คือ “ประกันจักรยานยนต์” นั้นเองครับ วันนี้เราจะพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ทำประกันรถจักรยายนต์จะคุ้มหรือไม่?” กันเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจกันครับ
ประกันคืออะไร?
ประกัน คือ การตกลงร่วมกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย อันได้แก่… ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย) กับผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) โดยมีการจัดทำข้อตกลงขึ้นในลักษณะของสัญญาประกันภัย หรือเรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัย” ซึ่งคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่คุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อเกิดการสูญเสียหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นต้องชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัยตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา ขณะเดียวกันผู้เอาประกันภัยก็มีหน้าที่ชำระเบี้ยประกันภัย (Premium) ตามที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อให้ความคุ้มครองดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประกันรถมอเตอร์ไซค์ คือ กรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองเพื่อดูแลในทรัพย์สิน ชีวิต และร่างกายของผู้ซื้อประกัน รวมถึงค่ารักษาพยาบาล จากอุบัติเหตุที่เกิดจากมอเตอร์ไซค์ ตามที่ได้ทำเอาไว้
มีประกันแบบคุ้มครองจักรยานยนต์มั้ย?
ตอบได้เลยว่ามีครับและสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ซึ่งได้แก่…ประกันมอเตอร์ไซค์ชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 2+, ชั้น 3 และชั้น 3+ โดยแต่ละขั้นจะมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ประกันชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองได้ครอบคลุมมากที่สุด
ความคุ้มครองของประกันรถจักรยานยนต์จคุ้มค่าหรือเปล่าว?
ความคุ้มครองของประกันรถจักยานยนต์หรือมอเตอร์ไซด์จะประกอบไปด้วยเรื่องของวงเงินค่าการรักษาเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เงินประกันตัวรถมอเตอร์ไซด์กับการจ่ายค่าชดเชยระหว่างคู่กรณี เป็นต้น ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มและครอบคลุมเกือบทุกๆ ด้านหากเราทำประกันชั้น 1 เอาไว้ครับ
รถมอเตอร์ไซค์แบบไหน ที่ประกันไม่คุ้มครอง
สำหรับเงื่อนไขในการรับประกันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละแผนประกันของแต่ละบริษัท บางที่ไม่รับรถจักรยานยนต์เชิงพาณิชย์ หรือไม่รับรถอายุเกิน 10 ปี ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ก็ต้องสอบถามข้อมูลก่อน แต่หลักๆ แล้วรถมอเตอร์ไซค์ที่ประกันจะไม่คุ้มครองเลย ได้แก่ รถมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่ง, รถมอเตอร์ไซค์ที่ตกแต่งแบบพิเศษ, รถจักรยานยนต์ที่มีอะไหล่แพงหรือหายาก (บางกรมธรรม์), รถมอเตอร์ไซค์เก่าเสื่อมสภาพ
ถ้าเราจะเคลมประกันมอเตอร์ไซด์ ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
หากรถมอเตอร์ไซค์เกิดอุบัติเหตุ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินเรื่องการเคลมรถมอเตอร์ไซค์ โดยเตรียมเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ เล่มทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์, สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของรถ, ใบขับขี่, สำเนากรมธรม์ประกันภัย, ภาพถ่ายความเสียหาย จากนั้นเจ้าหน้าที่จะมาประเมินความเสียหายและออกใบเคลมสำหรับนำเข้าศูนย์ซ่อม ให้เราเก็บใบเสร็จ และใบรับรถไว้เป็นหลักฐานสำหรับวันที่มารับรถมอเตอร์ไซค์ที่ซ่อมเสร็จแล้วนั้นเองครับ
นอกจากประกันที่ทำแล้ว พ.ร.บ. คืออะไร?
พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?
หากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์จะให้ความคุ้มครองในเบื้องต้นทันที โดยยังไม่ต้องมีการพิสูจน์ความผิด รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ล้มเอง หรือเฉี่ยวชนกับสิ่งกีดขวางบนท้องถนน ทำให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครอง ดังนี้
●เบิกค่ารักษาพยาบาลตามค่าใช้จ่ายจริง ในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน
●หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ จะได้รับเงินชดเชย 35,000 บาทต่อคน
●หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะตามมาภายหลังเข้ารับการรักษา จะได้รับเงินชดเชยสูงสุด 65,000 บาท
และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ทำประกันรถจักรยายนต์จะคุ้มหรือไม่?” ที่เราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านที่กำลังหาข้อมูลในด้านนี้กันครับ
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการทำประกันรถยนต์
ทุกครั้งที่เรานึกถึงการซื้อ “ประกันรถยนต์” เชื่อว่าทุกๆ ท่านก็คงคิดว่ามันเป็รสร้างภาระทางการเงินเพิ่มเติมจากแต่เก่า จึงทำให้ไม่ค่อยจะอยากเสียเท่าไหร่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แนวทางในการจัดการ “ความเสี่ยง” ที่ดีมากๆ วิธีหนึ่ง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าในอนาคตเราจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือไม่ก็ได้นั้น และคุณอาจจะต้องจบลงด้วยการเสียเงินมากกว่าที่คุณจะต้องจ่ายค่าประกันเสียอีก บทความนี้จะขอพาทุกๆ ท่านไปหาความรู้เกี่ยวกับ “การทำประกันรถยนต์” กันครับ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราไปดูกันเล้ยย
ทำความรู้จักกับ “ประกันรถยนต์”
ประกันภัยรถยนต์ หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผู้เอาประกันภัย” ได้โอนความเสี่ยงภัยเกี่ยวกับรถยนต์ไปให้บุคคลอื่นซึ่งเรียกว่า “ผู้รับประกันภัย” รับเสี่ยงภัยแทน โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ให้กับผู้รับประกันภัย เป็นการตอบแทนที่ผู้รับประกันภัยยอมรับความเสี่ยงภัยไว้แทน หากรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวรถยนต์ หรือแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลที่โดยสารอยู่ภายในรถยนต์ ตลอดจนบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากรถยนต์ที่เอาประกันภัยคันดังกล่าว ผู้เอาประกันภัย จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายที่เรียกว่า “ค่าสินไหมทดแทน” โดยผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ตามจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ตกลงทำสัญญาไว้
ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท
สามารถแบ่งออกเป็น 2 ปร้เภทหลัก ดังนี้
1. การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
คือ การประกันภัยรถยนต์ที่กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย ตามความคุ้มครองที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กำหนดไว้ คือ การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือที่เรียกว่า “การประกันภัย พ.ร.บ.” (เว้นแต่ รถที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ระบุยกเว้นไว้ เช่น รถของสำนักพระราชวัง รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ รถของกระทรวง ทบวง กรม เป็นต้น) ทั้งนี้ หากเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถไม่ทำประกันภัยตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กำหนด จะมีโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (ปรับไม่เกิน 10,000 บาท) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประสบภัยจากรถทุกคน เมื่อประสบภัยจากรถที่ใช้ หรืออยู่ในทาง หรือสิ่งที่บรรทุกติดตั้งมากับรถ ส่งผลให้ได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย ได้รับการชดใช้และเยียวยาความสูญเสียหรือเสียหายที่เกิดขึ้น
2.การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
คือ การประกันภัยที่เกิดขึ้นโดยความสมัครใจของเจ้าของรถยนต์ ผู้ครอบครองรถยนต์ หรือผู้ขับขี่รถยนต์ โดยไม่ได้เกิดจากการถูกบังคับโดยกฎหมาย จัดทำสัญญาเพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวรถ หรือความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อบุคคลภายนอก
ประกันแต่ละชั้น แตกต่างกันอย่างไร?
●การประกันภัยรถยนต์ประเภท 1
ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม และสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 เป็นการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองมากกว่าการประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น ๆ โดยมีความคุ้มครองหลักครบทั้ง 3 หมวดการคุ้มครอง ได้แก่ หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก, หมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหายไฟไหม้, หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์
●การประกันภัยรถยนต์ประเภท 2
เป็นการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับการประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แตกต่างกันเพียงไม่มีความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ ซึ่งหมายถึงคุ้มครอง 2 หมวด ได้แก่ หมวดการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกและหมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหายไฟไหม้
ข้อดีของการทำประกันรถยนต์
●ช่วยแบ่งเบาค่าซ่อมรถเราและคู่กรณี หากเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนขึ้นมา เราไม่จำเป็นต้องสำรองเงินไว้จ่ายอย่างแน่นอน เพราะประกันรถยนต์จะช่วยจ่ายค่าซ่อมรถของเราและคู่กรณีด้วยการเราผิด
●มีค่ารักษาพยาบาลให้ ไม่ต้องสำรองจ่ายเอง หากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนได้รับความบาดเจ็บทางด้านร่างกายไม่ว่าจะเป็นเราหรือคู่กรณีก็ตาม ประกันภัยจะมีค่ารักษาพยาบาลให้ตามวงเงินที่ได้ทำไว้
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการทำประกันรถยนต์” ที่เราได้นำมาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความนี้ เราหวังว่าท่านจะชอบกันและเป็นประโยชน์นะครับ
ข้อดีและข้อเสียของการทำประกันอัคคีภัย
อย่างที่เราทราบกันดีว่า “การประกันอัคคีภัย” เป็นการประกันวินาศภัยประเภทหนึ่งที่มีบทบาท รับผิดชอบต่อสังคมทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งต่อส่วนรวมและต่อบุคคล จึงทำให้การทำประกันอัคคีภัยนับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างมาก ในวันนี้เราจะขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมและพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ข้อดีและข้อเสียของการทำประกันอัคคีภัย” กันครับ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เดี๋ยวเราไปดุกันเลยดีกว่าครับ
การประกันอัคคีภัย คืออะไร?
การประกันอัคคีภัย คือ การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินต่างๆ ของผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าจะเป็น สังหาริมทรัพย์ หรือ อสังหาริมทรัพย์ ทั้งทรัพย์สินที่มีรูปร่าง และไม่มีรูปร่าง ที่อาจเกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้เป็นหลัก
ประกันอัคคีภัย คุ้มครองอะไรบ้าง
1. สิ่งปลูกสร้างที่ไม่รวมฐานราก : ส่วนของบ้านที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไป เช่น เสา ผนัง หลังคา พื้น ประตู หน้าต่าง รั้ว อาคารจอดรถ เป็นต้น
2. ทรัพย์สินในสิ่งปลูกสร้าง : ทรัพย์สินภายในสิ่งปลูกสร้างนั้น เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง สิ่งติดตั้งตรึงตรา เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องดนตรี เครื่องเสียง เครื่องครัว เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ
ประกันอัคคีภัยมีกี่ประเภท
ประกันอัคคีภัยนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. การประกันอัคคีภัยมาตรฐาน เป็นการประกันอัคคีภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เป็นมาตรฐานทั่วไป โดยกรมธรรม์ประกันภัยจะให้การคุ้มครองต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
2. การประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย การประกันอัคคีภัยประเภทนี้มุ่งให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินซึ่งเป็นที่อยู่ที่อาศัยซึ่งก็คือบ้านเรือนไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ อาคารตึกแถว คอนโดมิเนียม แฟลต ของผู้เอาประกันภัย
3. การประกันอัคคีภัยแบบพิเศษ การประกันอัคคีภัยแบบพิเศษนี้เป็นการประกันภัยที่มีอัตราเบี้ยไม่สูงมากหรือมีการกำหนดเอาไว้ชัดเจนโดยจะให้การคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่เกิดจากเพลิงไหม้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
3.1. แบบชุมชนบ้านอยู่อาศัย
– คุ้มครองสิ่งปลูกสร้างของบ้านที่ตั้งอยู่ในชุมชนที่เกิดไฟไหม้
– จำกัดวงเงิน 20,000 บาท
– ค่าเบี้ยประกันภัย 365 บาทต่อปี
3.2 แบบประหยัด
– คุ้มครองสิ่งปลูกสร้างของบ้านที่เกิด ไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด ความเสียหายจากยานพาหนะหรือสัตว์ความเสียหายจากอากาศยานหรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน ภัยอันเนื่องจากน้ำ (ไม่รวมน้ำท่วมนะครับ)
ขอบเขตความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยตามมาตรฐานมีอะไรบ้าง?
●คุ้มครองความเสียหาจากเพลิงไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดของแก๊สที่ใช้สำหรับสำหรับทำแสงสว่าง หรือใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น เช่นแก๊สหุงต้ม (ไม่ใช่เพื่อการค้าหรือเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม
●คุ้มครองความเสียหายจากน้ำหรือสารเคมีที่ใช้ในการดับเพลิง
●คุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ ดับเพลิง เช่น การพังบ้านหรือการกระทำใดๆเพื่อการดับเพลิงและป้องกันไม่ให้ไฟขยายตัวและลุกลาม
●คุ้มครองความเสียหายจากควัน เขม่า เกรียม อันเนื่องมาจากการเกิดอัคคีภัย
ข้อดีและข้อเสียของการทำประกันอัคคีภัย
●ข้อดีของการทำประกันอัคคีภัย
การทำประกันภัยแต่ละประเภทมีประโยชน์ในตัวของมันเอง นอกจากทำหน้าที่ช่วยกระจายความเสี่ยง และลดค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ประกันอัคคีภัยยังมีข้อดี ได้แก่ การคุ้มครองเมื่อบ้านเกิดเพลิงไหม้, เพิ่มความอุ่นใจเมื่อแก๊สหรืออุปกรณ์ให้ไฟฟ้าเกิดลัดวงจร, คลายกังวลเมื่อเกิดฟ้าผ่าแล้วสร้างความเสียหายให้แก่ที่พักอาศัยและราคาเบี้ยประกันถูก โดยเฉพาะการทำประกันอัคคีภัยระยะยาวหลายปี
●ข้อเสียของการทำประกันอัคคีภัย
การทำประกันอัคคีภัยอาจไม่สามารถคุ้มครองตัวผู้ทำประกันและมีเงื่อนไขข้อบังคับมากมายกว่าที่คุณคิด อีกทั้งยังมีข้อกฎหมายที่บังคับทำเราต้องทำเมื่อซื้อสังหาบางประเภทอีกด้วย และบางประกันอาจมีราคาสูงมากๆ ได้เช่นกันครับ
และนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ข้อดีและข้อเสียของการทำประกันอัคคีภัย” ที่เราได้หามาฝากทุกๆ ท่านกันในบทความนี้ครับ เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ ท่านนะครับ
ประกันรถจักรยานยนต์ ความคุ้มค่าที่น่าลงทุน
หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ขับขี่จักรยานยนต์ที่ต้องเดินทางเป็นประจำทุกวันแล้วหล่ะก็…การมีประกันติดไว้เป็นอะไรที่อุ่นใจกว่ามากๆ อย่างแน่นอนครับ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินได้เห็นผ่านตากันมาอุบัติเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่เกิดขึ้นอยุ่เป็นประจำ บทความนี้จะขอพาทุกๆ ท่านไปพบกับ “ประกันรถจักรยานยนต์ ราคาคุ้ม” ที่น่าสนใจกันครับ
ทำความรู้จักกับ “ประกันรถจักรยานยนต์”
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ เป็นประกันภาคสมัครใจ ตามกฎหมายเราจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่มีความผิด ซึ่งการคุ้มครองจะคุ้มครองเพิ่มเติมจากพ.ร.บ. โดยจะคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้เอาประกัน โดยวงเงินและขอบเขตการคุ้มครองจะเป็นไปตามประเภทของประกันรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งประเภทของประกันรถมอเตอร์ไซค์ก็จะเหมือนกับประกันภัยรถยนต์ปกติ โดยจะแบ่งเป็นประกันภัยชั้น 1, 2 และ 3
ข้อดีของประกันรถมอเตอร์ไซค์ คือ จะคุ้มครองในส่วนความเสียหายของรถ ทำให้ไม่ต้องควักเงินเสียค่าซ่อมรถ ซึ่งเป็นส่วนที่พ.ร.บ. ไม่ได้ให้ความคุ้มครอง
พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?
หากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์จะให้ความคุ้มครองในเบื้องต้นทันที โดยยังไม่ต้องมีการพิสูจน์ความผิด รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ล้มเอง หรือเฉี่ยวชนกับสิ่งกีดขวางบนท้องถนน ทำให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครอง ดังนี้
●เบิกค่ารักษาพยาบาลตามค่าใช้จ่ายจริง ในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน
●หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ จะได้รับเงินชดเชย 35,000 บาทต่อคน
●หากเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะตามมาภายหลังเข้ารับการรักษา จะได้รับเงินชดเชยสูงสุด 65,000 บาท
5 ประกันรถจักรยานยนต์ ราคาคุ้ม
–ประกันบิ๊กไบค์ของบริษัท TQM-
●คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิตบุคคลภายนอก
●คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์
●คุ้มครองกรณีรถสูญหาย รถไฟไหม้
●คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
●คุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง
●คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
●คุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา
– ประกันไทยไพบูลย์ แพกเกจ 3+ –
●ซ่อมรถเรา เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน โดยต้องมีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น (รถชนรถ) จึงสามารถเคลมได้
●ซ่อมรถ/ทรัพย์สินคู่กรณีให้ด้วย ถ้าเราเป็นฝ่ายผิด
●คุ้มมครองชีวิต และค่ารักษาพยาบาลคนในรถเรา
●จ่ายเงินประกันตัวผู้ขับขี่ กรณีเกิดเป็นคดีอาญาจากการเฉี่ยวชน
– ประกันภัยไทยวิวัฒน์แพกเกจ 3+ –
●ซ่อมรถเรา เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน โดยต้องมีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น (รถชนรถ) จึงสามารถเคลมได้
●ซ่อมรถ/ทรัพย์สินคู่กรณีให้ด้วย ถ้าเราเป็นฝ่ายผิด
●คุ้มครองชีวิต และค่ารักษาพยาบาลคนในรถเรา
●จ่ายเงินประกันตัวผู้ขับขี่ กรณีเกิดเป็นคดีอาญาจากการเฉี่ยวชน
–ประกันบิ๊กไบค์ของบริษัท กรุงศรี ออโต้-
●ทุนประกัน 30,000 บาท
●คุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล 1,000,000 บาท
●ซ่อมอู่
●ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก
●คุ้มครองชีวิตต่อคน 500,000 บาท คุ้มครองชีวิตต่อครั้ง 10,000,000 บา
●คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก 1,000,000 บาท
●คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
●คุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญาจุดเ
●คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
–ประกันบิ๊กไบค์ของบริษัทรู้ใจ-
●สามารถผ่อนชำระได้นานถึง 10 งวด ผ่อนชำระได้ทั้งบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
●ได้รับ Roojai Rewards สูงสุด 1,500 บาท
●คุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณี
●คุ้มครองรถเสียหาย รถสูญหาย รถไฟไหม้ รถน้ำท่วม
●คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
●คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
●คุ้มครองการประกันตัวผู้ขับขี่
และนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับ “ประกันรถจักรยานยนต์ ราคาคุ้ม” ที่เราได้นำมาฝากทุกๆ ท่าน เราหวังว่าจะช่วยเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองที่ทุกท่านต้องการและเข้าใจในการคุ้มของของ พ.ร.บ. มากขึ้นกันนะครับ
ทำไมถึงต้องทำประกันรถยนต์ ?
อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่าว่ารถยนต์จัดว่าเป็นของคู่กายที่ทุกๆ คนและทุกบ้านต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคัน เพื่อความสะดวกในการเดินทางและทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งต้องมีค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาต่างๆ มากมาย ที่จพทำให้เงินลอยออกจากกระเป๋าของเรา นอกจากนี้ยังอาจเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับตัวเราและรถของเราได้อีกด้วยครับ บทความนี้จะขอพาท่านผู้อ่านไปค้นหาคำตอบกันครับว่า “ทำไมถึงต้องทำประกันรถยนต์?” กันครับ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราไปดูกันเล้ยย!!
ความหมายของประกันรถยนต์
ประกันภัยรถยนต์ หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผู้เอาประกันภัย” ได้โอนความเสี่ยงภัยเกี่ยวกับรถยนต์ไปให้บุคคลอื่นซึ่งเรียกว่า “ผู้รับประกันภัย” รับเสี่ยงภัยแทน โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ให้กับผู้รับประกันภัย เป็นการตอบแทนที่ผู้รับประกันภัยยอมรับความเสี่ยงภัยไว้แทน หากรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวรถยนต์ หรือแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลที่โดยสารอยู่ภายในรถยนต์ ตลอดจนบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากรถยนต์ที่เอาประกันภัยคันดังกล่าว ผู้เอาประกันภัย จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายที่เรียกว่า “ค่าสินไหมทดแทน” โดยผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ตกลงทำสัญญาไว้
ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท
ประกันรถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่…
●ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ
การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า ประกันภัย พ.ร.บ. ซึ่งรถยนต์ทุกคันทุกชนิดต้องทำประกันภัยประเภทนี้ เนื่องจากถูกบังคับโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ประกันภัยประเภทนี้ให้ความคุ้มครองและรับผิดชอบต่อความสูญเสียของชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของประชาชนผู้ประสบภัยจากรถยนต์เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น นาย อ. ขับรถไปชนคนที่กำลังเดินข้ามถนนได้รับบาดเจ็บ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับนี้จะรับผิดชอบเฉพาะค่ารักษาพยาบาลของคนเดินถนนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า “ซ่อมคน ไม่ซ่อมรถ”
●ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ (ผู้เอาประกันภัย) และผู้ขาย (บริษัทประกันภัย) เป็นการเลือกซื้อความคุ้มครองประกันภัยตามความต้องการของผู้ซื้อโดยไม่มีผู้ใดบังคับซึ่งประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจนี้จะรับผิดชอบต่อความเสียหายส่วนที่เกินจากความรับผิดชอบของประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับนั่นเอง
3 เหตุผลที่บ่งบอกว่าทำไมถึงต้องทำประกันรถยนต์?
●เพื่อลดความเสี่ยงต่อสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับถูกขโมยรถ รถถูกไฟไหม้หรือเจอผลกระทบภายนอกที่เมื่อเราไม่มีเงิน ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี เชื่อว่าทุกคนล้วนไม่อยากที่จะเสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
●ลดการปะทะกับคู่กรณี ในหลายๆ ครั้งที่การประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน มักจะนำมาซึ่งการใช้อารมณ์ที่รุนแรง การโต้เถียงหรือไม่เข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างคู่กรณี รวมถึงการเจรจาที่อาจจะทำให้คุณต้องกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การทำประกันรถยนต์ นั้นทางบริษัทประกันภัยจะมีเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
●มีวงเงินประกันตัวผู้ขับขี่หากเกิดเหตุร้ายแรง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดว่าทางผู้รับประกันภัยจะคุ้มครอง แต่ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น ซึ่งเมื่อถ้าหากมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต อุบัติเหตุจะกลายเป็นคดีอาญาที่จะต้องมีการพิจารณาคดี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่รุนแรงและบานปลายพอสมควร แต่ถ้าหากคุณมี ประกันภัยรถยนต์ เอาไว้จะสามารถช่วยเหลือคุณได้เป็นอย่างดี โดยกรมธรรม์ดังกล่าว คือ การประกันตัวผู้ขับขี่คดีอาญา นั่นเอง
และนี้คือคำตอบของคำถามที่ว่า “ทำไมถึงต้องทำประกันรถยนต์ ?” ที่เราได้หามาฝากทุกๆ ท่านกันครับ เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกๆ ท่านนะครับ